วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กินให้ผอมด้วย Raw Food


Raw Food คืออะไร?
หากแปลตรงๆ ตัว Raw Food ก็หมายถึงอาหารดิบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเชิญชวนให้คุณกินปลาดิบหรือสารพัดเนื้อสัตว์ดิบๆ นะคะ โดยทฤษฏีแล้ว Raw Food ก็คืออาหาร ที่เป็นพวกผลไม้สด ผัดสด ต้นอ่อนของพืช เมล็ดพืช ซึ่งไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งทางเคมี ไม่มีแป้งและน้ำตาล ไม่ใช้ความร้อนเกิน 46 องศาเซลเซียสในการปรุง พูดง่ายๆ ก็คือ อาหารมังสวิรัติแบบไม่ต้องปรุงด้วยความร้อน นั่นเอง
ทำไมต้อง ‘ดิบ’
ทฤษฎีนี้เชื่อว่าอาหารสดๆ นั้นมีเอนไซม์สำหรับช่วยในการบวนการย่อยอยู่ตามธรรมชาติหากเราปรุงด้วยความร้อน เอนไซม์นั้นก็จะถูกทำลาย หากเรากินอาหารที่ปรุงสุกมากๆ ร่างกายก็จะต้องทำงานหนักจนเกิดปัญหา ในระบบการย่อย ทำให้คุณขาดสารอาหารแก่เร็วกว่าที่ควร และน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นด้วย
ผอมได้ยังไง?
เนื่องจาก Raw Food มีแคลอรีต่ำ แต่มีสารอาหารสูงร่างกายของคุณจึง “อิ่ม” สารอาหารที่ได้ และบอกคุณว่า “พอแล้ว” คุณจึงไม่รู้สึกว่าอยากกินอะไรอีก หรือต่อให้คุณกินจุบจิบตลอดวัน แต่ถ้าไม่หลุดคอนเซ็ปต์ Raw Food พลังงานที่ได้ก็ไม่เหลือไปสะสม เป็นไขมัน นอกจากนี้ เมื่อคุณเคยชินกับการกินผัก ผลไม้ นิสัยการกินแบบนี้นี่แหละที่จะทำให้คุณผอมได้ยาวนาน

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำไมถึงใช้ครีมกันแดดไม่ได้ผล ?


ทำไมถึงใช้ครีมกันแดดไม่ได้ผล ?


1. ครีมกันแดดเสื่อมคุณภาพไป  เช่น ทิ้งไว้นานเกิน 2 ปี นั่นก็คือ สารที่ช่วยในการต่อต้านรังสี UV ได้เสื่อมสภาพไปแล้วเมื่อทิ้งไว้เป็นเวลานานๆ ดังนั้นควรเก็บครีมกันแดดหลังเปิดใช้แล้วไม่เกิน 2 ปี หรือตรวจสอบว่าทางร้านเก็บผลิตภัณฑ์ก่อนขายมานานเท่าไหร่โดยตรวจสอบวันเดือนปีที่ผลิตให้ดีๆ ก่ิอนเลือกซื้อมาใช้
2. การจัดเก็บครีมกันแดดไม่ถูกวิธี คือการเก็บครีมกันแดดไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป หรือ ที่ที่มีความร้อนหรือแสงแดดส่องเข้ามาถึงทำให้ครีมกันแดดนั้นเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนดเมื่อนำมาใช้แน่นอนว่า ครีมกันแดดจะไม่ได้ผล
3. ทาครีมกันแดดไม่ถูกวิธี นั่นก็คือ ทาครีมกันแดดก่อนออกไปเจอแสงแดดทันทีโดยที่ครีมกันแดดนั้นยังไม่ซึมซับผ่านเข้าไปยังผิวหนังของเราเมื่อถูกแดดเผาสารที่ช่วยปกกันก็ระเหยออกไปหมดและไม่สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดนั้นได้ ดังนั้นควรจะต้องทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 30-40 นาที
4. การเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่เหมาะกับผิว หรือการใช้งาน คือบางคนคิดว่าการเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ จะช่วยให้ปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ดี ในขณะที่คุณไม่ได้ออกไปเจอแสงแดดแรงๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร และอาจจะทำให้เกิดการสะสมของสารเคมีบนผิวหนังของคุณได้ทำให้ผิวของคุณเกิดการระคายเคืองได้ง่าย และการเลือกกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางอีกด้วย และคนที่ผิวที่มีเหงื่ออกมากๆ ควรจะใช้ครีมกันแดดที่กันน้ำจะดีที่สุดคะ

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

5 สิ่งที่ควรทำยามไปเที่ยวทะเล ถ้าไม่อยากเสียสวย

5 สิ่งที่ควรทำยามไปเที่ยวทะเล ถ้าไม่อยากเสียสวย (Lisa)



1. เตรียมผมก่อนลงน้ำ : เพราะคลอรีนหรือน้ำทะเลอาจทำให้ผมแห้ง แถมสีผมก็จะดูหมองลงด้วย ทำผมให้เปียกและชโลมคอนดิชันเนอร์ลงไปก่อน แล้วจึงค่อยกระโดดลงน้ำ

2. เติมความชุ่มชื้น : อย่าปล่อยให้แสงแดดขโมยความชุ่มชื้นออกไปจากผิว ด้วยการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละแปดแก้ว (หรือมากกว่านั้นถ้าคุณมีกิจกรรมอะไรที่ต้องกระโดดโลดเต้นจนเหงื่อออกเยอะ)

3. ทาครีมกันแดด : โดยปกติเราก็ไม่ควรขาดครีมกันแดดอยู่แล้ว ฉะนั้น เวลาไปเที่ยวทะเลยิ่งไม่ควรลืม และควรทาซ้ำทุก ๆ 40-80 นาที แสงยูวีจะได้ทำร้ายผิวของคุณไม่ได้

4. แว็กซ์ขนล่วงหน้า : อย่างน้อย ๆ ก็สักสองสามวัน เพราะถ้าคุณไปถอนหรือโกนเอาตอนก่อนจะกระโจนลงน้ำละก็ อาจทำให้ผิวไวต่อความรู้สึกจนเกิดเป็นผื่นแดงขึ้นได้

5. ไม่ต้องแต่งหน้า : ทิ้งกระเป๋าเครื่องสำอางเอาไว้ที่บ้านนั่นแหละ เพราะถึงแต่งไปส่วนที่เป็นน้ำมันก็ไหลเยิ้มลงมาให้ขายหน้าอยู่ดี สิ่งที่คุณควรพกไปก็คือครีมกันแดด และลิปบาล์มเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก LISA GURU
เคล็ดลับความงามเพิ่มเติม  ---> https://www.facebook.com/StemCellBeauty

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สาเหตุการเกิดฝ้า วิธีป้องกัน และการรักษา


สาเหตุการเกิดฝ้า วิธีป้องกัน และการรักษา
 ฝ้ามักขึ้นบริเวณใบหน้า มีลักษณะสีน้ำตาลอมดำ อาจมีขนาดแตกต่างกัน มีตั้งแต่เป็นหย่อมเล็ก ๆ จนกระทั่งขนาดใหญ่ บริเวณที่มักเกิดฝ้ามากที่สุด คือ โหนกแก้ม สันจมูก และอาจเกิดที่หน้าฝาก โดยทั่วไปฝ้าจะเกิดกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุ ฝ้ามักจะเกิดบริเวณผิวหนังส่วนที่ถูกแดด ควรระวังไม่ให้ถูกแดดซ้ำ

ชนิดของ ฝ้า
ฝ้า แบ่งได้เป็น ๒ ชนิด ตามความลึกของการเกิดฝ้า คือฝ้าแบบตื้น และฝ้าแบบลึก
ฝ้าแบบตื้น จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย และสามารถรักษาให้หายได้เร็ว นอกจากนี้ฝ้าชนิดนี้ยังรักษาโดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และ ครีมกันแดด ก็สามารถลบเลือนให้หายได้
ฝ้าแบบลึก จะมีอาการผิดปกติ อยู่ในชั้นที่ลึกกว่าชนิดแรก โดยจะเกิดฝ้าในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า จะเกิดความผิดปกติในระดับชั้นผิวหนังแท้ มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด รักษาได้ยากกว่าฝ้าชนิดตื้น และไม่ค่อยหายขาด การใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และ ครีมกันแดด เพียงแต่ช่วยให้ดีขึ้นเท่านั้น

บางคนก็เป็นฝ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทั้ง ๒ ชนิดพร้อมกันก็ได้

วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วิธีดูแลดวงตาให้สวย ปิ้ง!

ประคบประหงม ดวงตา ก่อน-หลังทำงาน 

ถ้าคุณจะต้องทำงาน หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ยิ่งสาวๆออฟฟิศแล้วไม่ต้องพูดถึงคุณจะต้องใช้สายตาจ้องมองคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์  ฉะนั้นคุณควรจะดูแลดวงตาทั้งก่อนนอนและตื่นนอน

   ก่อนนอนให้นำสำลีชุบน้ำอุ่นแล้วประคบที่เปลือกตาเพื่อให้ดวงตาผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า กระตุ้นการหมุนเวียนเลือดบริเวณเปลือกตา

  และหลังจากตื่นนอนใช้ผ้าสะอาดแช่ในน้ำเย็นแล้วมาประคบที่ดวงตาสัก 3 นาที เพื่อให้ดวงตาดูสดใส บริ๊ง บริ๊ง ตลอดวัน

ปกป้องดวงตาให้พ้นจากแสงแดด


ในช่วงเวลากลางวันเป็นที่รู้กันว่า แสงแดดในบ้านเรานั้น รุนแรงแค่ไหน ดวงตาก็เหมือนผิวกายที่คุณจะต้องปกป้อง เพราะอันตรายจากรังสี UV สามารถทำลายเนื้อเยื่อดวงตาของคุณ สาเหตุของการเกิดต้อที่ตา ดังนั้นคุณควรจะเลือกใส่แว่นกันแดดที่ป้องกันแสง UV และทางที่ดีควรจะเป็นแว่นกรอบใหญ่จะช่วยปกป้องผิวรอบดวงตาของคุณด้วย

 โยคะดวงตาให้ผ่อนคลาย

หลังจากที่คุณต้องใช้สายตาทำงานมากๆ ควรจะต้องพักสายตาด้วยการหันมองไปทางอื่นบ้าง ทอดสายตามองไปไกลๆ หรือจะออกมาชมนก ชมไม้ จะช่วยผ่อนคลายสายตาและจิตใจของคุณด้วย และยังมีวิธีทำโยคะดวงตาแบบง่ายๆ ให้ไปลองทำ โดยเริ่มจากกรอกลูกตาไปมาเป็นวงกลมเริ่มจากตาม เข็มนาฬิกาครบ 1 รอบ แล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา แล้วจึงนอนหงายหรือนั่งหลับตาสักพัก ทำซ้ำๆ กันวันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยให้ดวงตามีชีวิตชีวาขึ้น

ยืดอายุดวงตาไม่ให้เกิดริ้วรอย

สาวๆ ส่วนใหญ่จะต้องแต่งหน้า แต่งตากันเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว รู้ไหมว่า การแต่งหน้าเป็นการเร่งทำให้เกิดถุงต้ตาและริ้วรอยรอบดวงตา แต่จะไม่ให้แต่งก็คงเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้เกิด คือ ควรจะต้องช้ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาที่บางเบาไม่ก่อสารระคายเคือง และในเวลา Makeup ควรจะใช้แบบบางเบาและเบามือเพื่อไม่เกิดการดึงรั้งผิวบริเวณดวงตา

ดูแลดวงตาด้วยการกิน

ได้เคล็ดลับดูแลตวงตาโดยทางตรงไปแล้ว มาดูวิธีบำรุงสุขภาพตาให้ปิ๊งด้วยการทานผัก ที่อุดมไปด้วย วิตามิน A ซึ่งมีผักอยู่ 5 ชนิดที่ช่วยบำรุงสายตา คือ

  •             ผักบุ้ง ลดอาการปวดตาในเวลาที่ต้องใช้สายตาเพ่งมองนานๆ และบรรเทาอาการตาแห้ง
  •             แครอท บำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็นในที่มืด
  •             ฟักทอง ป้องกันเยื่อบุตาแห้ง และกระจกตาเป็นแผล
  •             คะน้า มีลูทีนสูง ทานเป็นประจำลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกถึง 20%
  •             ตำลึง มีเบต้าแคโรทีน แก้โรคตามัวตอนกลางคืน
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก LisaGuru.com
เคล็ดลับความงามเพิ่มเติม https://www.facebook.com/StemCellBeauty

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คุณล้างหน้า ผิดวิธีอยู่หรือเปล่า? (Lisa)


สาว ๆ ส่วนใหญ่มักจะล้างหน้ากันผิด ๆ โดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพผิวของคุณในระยะยาวได้ ฉะนั้นก็อ่านข้อควรระวังในการล้างหน้านี้ก่อน
ล้างมือก่อน : คุณควรล้างมือให้สะอาดก่อนเท่าการล้างหน้า เพราะเชื้อแบคทีเรียบนมืออาจกระโจนลงไปสร้างปัญหาบนผิวหน้าของคุณได้
#  ล้างน้ำอุ่น : การใช้น้ำร้อนเกินไปในการล้างหน้าจะทำให้ผิวหน้าปรับตัวไม่ทันจนเกิดอาการช็อก แล้วนำไปสู่อาการระคายเคืองได้ แถมยังอาจทำให้เส้นเลือดแตกด้วยนะ
#  อย่าใจร้อน : ก่อนทาเคลนเซอร์ต้องทำให้ผิวหน้าเปียกชื้นซะก่อน เพราะเคลนเซอร์ส่วนใหญ่จะออกแบบมาให้เจือจางกับน้ำ ฉะนั้น ถ้าใช้กับผิวแห้ง ๆ ก็อาจส่งผลร้ายได้
#  อย่าขัดผิวมากเกินไป : กรดและสารขัดผิวต่าง ๆ จะช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนด้วยการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แต่การขัดผิวบ่อยเกินควรอาจทำให้ผิวใหม่นั้นขาดความชุ่มชื้นได้ และถ้าทำอย่างนี้ไปนาน ๆ เข้าชั้นปกป้องผิวตามธรรมชาติก็จะเกิดความเสียหายด้วย
สนใจศึกษาผลิตภัณฑ์ความงามเพิ่มเติม ----> www.BeautyByStemCell.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa Weekly