วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อาหารที่สามารถช่วยดูแลความสวยความงาม ^_^

สำหรับใครที่กำลังมองหาอาหารที่สามารถช่วยดูแลเรื่องความสวยความงามของเราได้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า



ผมสวย...ด้วยถั่วลิสง

          ถั่วลิสงเมล็ดเล็ก ๆ แสนอร่อยนี้อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และไฟเบอร์ อีกทั้งยังมีสารอาหารอีกสารพัด เช่น ไบโอติน, วิตามินบี ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับสุขภาพเส้นผมเป็นอย่างมาก หากร่างกายได้รับไบโอตินไม่เพียงพอ จะก่อให้เกิดปัญหาผมหลุดร่วง 

          ดังนั้น หากอยากมีผมสวยสุขภาพดี แถมหนาได้อย่างใจ ก็ควรจะกินถั่ว หรือพืชตระกูลถั่วเป็นประจำ จะพกติดไว้เป็นของกินเล่นก็ดี แต่ก็ควรจำกัดปริมาณกินด้วยนะคะ เพราะอย่าลืมว่าเจ้าถั่วแสนอร่อยนี้ก็มีแคลอรี่กับเขาด้วยเหมือนกัน 

          และนอกจากถั่วแล้ว อะโวคาโด และเห็ด ก็อุดมไปด้วยวิตามินบี 5 หรือกรดแพนโธเธนิค (pantothenic acid) ซึ่งก็มีส่วนช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดีและเงางาม เนื่องจากมีหน้าที่ส่งไขมันที่เรารับประทาน ไปยังจุดที่ร่างกายต้องการใช้งานได้อย่างถูกต้อง จึงทำให้ผมมีความเงางามไม่แห้งเสียนั่นเอง


ตาใสปิ๊ง...กินมันเทศสิ

          เมื่อเราพูดถึงอาหารที่สำคัญต่อสุขภาพตา เราก็จะนึกถึงวิตามินเอ และผลไม้ตระกูลส้มกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะส้มจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอสูง แต่มันเทศเองก็มีวิตามินเอสูงพอ ๆ กัน แถมยังพ่วงเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีสรรพคุณในด้านการลดน้ำหนัก อีกทั้งยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม และปัญหาในการมองเห็นต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งนอกจากมันเทศแล้ว ในฟักทอง, แคนตาลูป, เกรปฟรุต และผักเคล ก็มีเบต้าแคโรทีน กินเพื่อบำรุงสายตาได้ด้วยเช่นกันจ้า

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ถ้าใช้เครื่องสำอางค่า SPF สูง ต้องใช้ครีมกันแดดเพิ่มไหม?

หลายคนสงสัยถึงวิธีการใช้ครีมกันแดดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยวิธีการใช้ของแต่ละคนที่แตกต่างกันดังนั้นผลลัพท์ที่ได้จึงแตกต่างกันโดยในหัวข้อนี้เราจะมาแนะนำสาวๆ ให้รู้ถึงการใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้องและปกป้องผิวของคุณมากที่สุด

ในการปกป้องผิวจากแสงแดดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้น คุณต้องทาครีมกันแดดปริมาณ 2 เมกะกรัมต่อพื้นที่บนผิว 1 ตารางเซนติเมตร ซึ่งถ้าคุณใช้แต่ครีม รองพื้นที่มีค่า SPF คุณก็ต้องเพิ่มปริมาณจากปกติถึง 7 เท่า แต่ถ้าเป็นแป้งที่มี SPF ก็ต้องทามากกว่าเดิมถึง 14 เท่า นอกจากนี้ เม็ดสีในเครื่องสำอางยังอาจทำให้สารกันแดดเกิดการแตกตัว จึงต้องทาซ้ำทุกๆ สองชั่วโมง แล้วคุณจะทารองพื้นหรือแป้งได้บ่อยขนาดนั้น หรือเปล่า? สรุปได้ว่าเครื่องสำอางที่มีค่า SPF อาจไม่ช่วยอะไรได้มากนัก คุณจึงควรทาครีมกันแดดทุกวันก่อนแต่งหน้าเสมอ

การเลือกครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูง

# ผู้ที่มีผิวบอบบางปานกลาง ใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ 15 ก็เพียงพอ หรือมากกว่านั้นถ้าต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ส่วนผู้ที่มีผิวบอบบางมากๆ หรือเคยได้รับอันตรายจากแสงแดด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 45 หรือ 60

# สำหรับผู้ที่มีผิวที่ทนต่อแสงแดดได้การใช้ครีมกันแดดก็มีความจำเป็นนะ อย่างไรก็ควรต้องใช้ครีมกันแดดอยู่ดี เพียงแต่สามารถเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่สูงมาก อาจจะแค่ 8 หรือ 20 ก็เพียงพอแล้ว เพื่อป้องกันรังสียูวีเอไม่ให้เข้าไปกระตุ้นการทำงานของเมลานินให้ผิดปกติ และก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังในภายหลังได้

# สำหรับเด็กควรเลือกค่า SPF 60 ในการปกป้องผิวสำหรับเด็กเสมอเพราะผิวเด็กมีความบอบบางมากต้องการ การปกป้องมากเป็นพิเศษและควรเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กโดยเฉพาะด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก LisaGuru.com
และ บทความดีๆจาก www.BeautyByStemCell.com และ https://www.facebook.com/StemCellBeauty

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับง่ายๆ พวกนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งครีมราคาแพงก็มีผิวที่เกลี้ยงเกลาได้


เคล็ดลับง่ายๆ พวกนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งครีมราคาแพงก็มีผิวที่เกลี้ยงเกลาได้
ทำความสะอาดย้อนขึ้น: เวลาทำความสะอาดผิวหน้า ทาเซรั่มหรือทาโลชั่น ก็ควรนวดลงบนผิวเป็นแนววงกลมย้อนขึ้นไป วิธีนี้จะช่วยให้สารบำรุงต่างๆ ซึมซาบลงในผิวได้อย่างรวดเร็ว
ทำเครื่องสำอางย้อนลง: แต่เวลาทาเครื่องสำอางนั้น คุณควรทาในแนวย้อนลงมา เครื่องสำอางจะได้ไม่เกาะอยู่ข้างบน แถมยังช่วยไม่ให้เข้าไปอุดตันในรูขุมขนด้วย
ล้างเครื่องสำอางก่อนเข้านอน: ถ้าคุณไม่มีเวลาหรืออารมณ์จะล้างหน้าอย่างเต็มรูปแบบ ก็ใช้แผ่นทำความสะอาดสำเร็จรูปแทนซะเพราะมันไม่ต้องใช้เวลามากมายอะไรเลย
ขัดผิวเป็นประจำ: ในช่วงที่อากาศร้อนๆ อย่างนี้ ผิวหน้ามักจะเป็นมันเยิ้มได้ง่าย คุณจึงควรขัดผิวเป็นประจำเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจะได้ไม่เข้าไปอุดตันในรูขุมขนจนเกิดเป็นสิวหัวดำ
หาเวลาพักผิว: คุณควรหาเวลาซักสัปดาห์ละครั้ง ปล่อยให้ผิวหน้าเปล่า-เปลือยโดยไม่มีเครื่องสำอางใดๆ อยู่บนใบหน้าเลย วิธีนี้จะช่วยให้ผิวหน้าได้พักจากน้ำหอม สารกันบูด และน้ำมันต่างๆ รวมทั้งสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก Lisaguru.com

บทความด้านความงามเพิ่มเติม ---> www.BeautyByStemCell.com
หรือ Facebook : https://www.facebook.com/StemCellBeauty

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กินให้ผอมด้วย Raw Food


Raw Food คืออะไร?
หากแปลตรงๆ ตัว Raw Food ก็หมายถึงอาหารดิบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเชิญชวนให้คุณกินปลาดิบหรือสารพัดเนื้อสัตว์ดิบๆ นะคะ โดยทฤษฏีแล้ว Raw Food ก็คืออาหาร ที่เป็นพวกผลไม้สด ผัดสด ต้นอ่อนของพืช เมล็ดพืช ซึ่งไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งทางเคมี ไม่มีแป้งและน้ำตาล ไม่ใช้ความร้อนเกิน 46 องศาเซลเซียสในการปรุง พูดง่ายๆ ก็คือ อาหารมังสวิรัติแบบไม่ต้องปรุงด้วยความร้อน นั่นเอง
ทำไมต้อง ‘ดิบ’
ทฤษฎีนี้เชื่อว่าอาหารสดๆ นั้นมีเอนไซม์สำหรับช่วยในการบวนการย่อยอยู่ตามธรรมชาติหากเราปรุงด้วยความร้อน เอนไซม์นั้นก็จะถูกทำลาย หากเรากินอาหารที่ปรุงสุกมากๆ ร่างกายก็จะต้องทำงานหนักจนเกิดปัญหา ในระบบการย่อย ทำให้คุณขาดสารอาหารแก่เร็วกว่าที่ควร และน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นด้วย
ผอมได้ยังไง?
เนื่องจาก Raw Food มีแคลอรีต่ำ แต่มีสารอาหารสูงร่างกายของคุณจึง “อิ่ม” สารอาหารที่ได้ และบอกคุณว่า “พอแล้ว” คุณจึงไม่รู้สึกว่าอยากกินอะไรอีก หรือต่อให้คุณกินจุบจิบตลอดวัน แต่ถ้าไม่หลุดคอนเซ็ปต์ Raw Food พลังงานที่ได้ก็ไม่เหลือไปสะสม เป็นไขมัน นอกจากนี้ เมื่อคุณเคยชินกับการกินผัก ผลไม้ นิสัยการกินแบบนี้นี่แหละที่จะทำให้คุณผอมได้ยาวนาน

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำไมถึงใช้ครีมกันแดดไม่ได้ผล ?


ทำไมถึงใช้ครีมกันแดดไม่ได้ผล ?


1. ครีมกันแดดเสื่อมคุณภาพไป  เช่น ทิ้งไว้นานเกิน 2 ปี นั่นก็คือ สารที่ช่วยในการต่อต้านรังสี UV ได้เสื่อมสภาพไปแล้วเมื่อทิ้งไว้เป็นเวลานานๆ ดังนั้นควรเก็บครีมกันแดดหลังเปิดใช้แล้วไม่เกิน 2 ปี หรือตรวจสอบว่าทางร้านเก็บผลิตภัณฑ์ก่อนขายมานานเท่าไหร่โดยตรวจสอบวันเดือนปีที่ผลิตให้ดีๆ ก่ิอนเลือกซื้อมาใช้
2. การจัดเก็บครีมกันแดดไม่ถูกวิธี คือการเก็บครีมกันแดดไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป หรือ ที่ที่มีความร้อนหรือแสงแดดส่องเข้ามาถึงทำให้ครีมกันแดดนั้นเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนดเมื่อนำมาใช้แน่นอนว่า ครีมกันแดดจะไม่ได้ผล
3. ทาครีมกันแดดไม่ถูกวิธี นั่นก็คือ ทาครีมกันแดดก่อนออกไปเจอแสงแดดทันทีโดยที่ครีมกันแดดนั้นยังไม่ซึมซับผ่านเข้าไปยังผิวหนังของเราเมื่อถูกแดดเผาสารที่ช่วยปกกันก็ระเหยออกไปหมดและไม่สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดนั้นได้ ดังนั้นควรจะต้องทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 30-40 นาที
4. การเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่เหมาะกับผิว หรือการใช้งาน คือบางคนคิดว่าการเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ จะช่วยให้ปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ดี ในขณะที่คุณไม่ได้ออกไปเจอแสงแดดแรงๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร และอาจจะทำให้เกิดการสะสมของสารเคมีบนผิวหนังของคุณได้ทำให้ผิวของคุณเกิดการระคายเคืองได้ง่าย และการเลือกกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางอีกด้วย และคนที่ผิวที่มีเหงื่ออกมากๆ ควรจะใช้ครีมกันแดดที่กันน้ำจะดีที่สุดคะ

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

5 สิ่งที่ควรทำยามไปเที่ยวทะเล ถ้าไม่อยากเสียสวย

5 สิ่งที่ควรทำยามไปเที่ยวทะเล ถ้าไม่อยากเสียสวย (Lisa)



1. เตรียมผมก่อนลงน้ำ : เพราะคลอรีนหรือน้ำทะเลอาจทำให้ผมแห้ง แถมสีผมก็จะดูหมองลงด้วย ทำผมให้เปียกและชโลมคอนดิชันเนอร์ลงไปก่อน แล้วจึงค่อยกระโดดลงน้ำ

2. เติมความชุ่มชื้น : อย่าปล่อยให้แสงแดดขโมยความชุ่มชื้นออกไปจากผิว ด้วยการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละแปดแก้ว (หรือมากกว่านั้นถ้าคุณมีกิจกรรมอะไรที่ต้องกระโดดโลดเต้นจนเหงื่อออกเยอะ)

3. ทาครีมกันแดด : โดยปกติเราก็ไม่ควรขาดครีมกันแดดอยู่แล้ว ฉะนั้น เวลาไปเที่ยวทะเลยิ่งไม่ควรลืม และควรทาซ้ำทุก ๆ 40-80 นาที แสงยูวีจะได้ทำร้ายผิวของคุณไม่ได้

4. แว็กซ์ขนล่วงหน้า : อย่างน้อย ๆ ก็สักสองสามวัน เพราะถ้าคุณไปถอนหรือโกนเอาตอนก่อนจะกระโจนลงน้ำละก็ อาจทำให้ผิวไวต่อความรู้สึกจนเกิดเป็นผื่นแดงขึ้นได้

5. ไม่ต้องแต่งหน้า : ทิ้งกระเป๋าเครื่องสำอางเอาไว้ที่บ้านนั่นแหละ เพราะถึงแต่งไปส่วนที่เป็นน้ำมันก็ไหลเยิ้มลงมาให้ขายหน้าอยู่ดี สิ่งที่คุณควรพกไปก็คือครีมกันแดด และลิปบาล์มเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก LISA GURU
เคล็ดลับความงามเพิ่มเติม  ---> https://www.facebook.com/StemCellBeauty

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สาเหตุการเกิดฝ้า วิธีป้องกัน และการรักษา


สาเหตุการเกิดฝ้า วิธีป้องกัน และการรักษา
 ฝ้ามักขึ้นบริเวณใบหน้า มีลักษณะสีน้ำตาลอมดำ อาจมีขนาดแตกต่างกัน มีตั้งแต่เป็นหย่อมเล็ก ๆ จนกระทั่งขนาดใหญ่ บริเวณที่มักเกิดฝ้ามากที่สุด คือ โหนกแก้ม สันจมูก และอาจเกิดที่หน้าฝาก โดยทั่วไปฝ้าจะเกิดกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุ ฝ้ามักจะเกิดบริเวณผิวหนังส่วนที่ถูกแดด ควรระวังไม่ให้ถูกแดดซ้ำ

ชนิดของ ฝ้า
ฝ้า แบ่งได้เป็น ๒ ชนิด ตามความลึกของการเกิดฝ้า คือฝ้าแบบตื้น และฝ้าแบบลึก
ฝ้าแบบตื้น จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย และสามารถรักษาให้หายได้เร็ว นอกจากนี้ฝ้าชนิดนี้ยังรักษาโดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และ ครีมกันแดด ก็สามารถลบเลือนให้หายได้
ฝ้าแบบลึก จะมีอาการผิดปกติ อยู่ในชั้นที่ลึกกว่าชนิดแรก โดยจะเกิดฝ้าในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า จะเกิดความผิดปกติในระดับชั้นผิวหนังแท้ มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด รักษาได้ยากกว่าฝ้าชนิดตื้น และไม่ค่อยหายขาด การใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และ ครีมกันแดด เพียงแต่ช่วยให้ดีขึ้นเท่านั้น

บางคนก็เป็นฝ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทั้ง ๒ ชนิดพร้อมกันก็ได้